บทสรุปของโพสต์โดย durumis AI
- ในพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ 'การประกาศ' หมายถึงบทบาทของผู้ส่งสารในการถ่ายทอดพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งมีอำนาจทางจิตวิญญาณในการทำให้ปีศาจยอมจำนนและนำมาซึ่งความเชื่อฟังของวิญญาณและสภาพแวดล้อม
- แต่ในคริสตจักรยุคปัจจุบัน มักจะให้ความสำคัญกับอำนาจของผู้นำคริสตจักรและหลักคำสอน จนทำให้มีการใช้คำว่า 'ถ่ายทอด' และ 'ประกาศ' โดยพลการโดยปราศจากพระบัญชาโดยตรงจากพระเจ้า
- ดังนั้น คริสตจักรจึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาแยกแยะพระสุรเสียงของพระเจ้า และดำเนินชีวิตในฐานะคริสเตียนแท้โดยทำตามพระประสงค์ของพระองค์ รวมถึงต้องระมัดระวังไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผู้เผยพระวจนะเท็จหรือผู้นำคริสตจักรที่ผิดๆ
ภาษากรีกที่แปลว่า “ประกาศ” (เผยแพร่สู่สาธารณชน) ในพันธสัญญาใหม่คือ “อะพังเกโล”
ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ “อะพังเกโล” ถูกแปลว่า proclaim, declare, announce
[ที่มา] https://www.kmib.co.kr/article/view.asp?arcid=0924014562, กุกมินอิลโบ, 2018. 10. 5
“ประกาศ” ในภาษากรีกคือ <เคอริสโซ (κηρύσσω)> <เคอริสโซ> หมายถึงการทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารที่มีอำนาจจากพระเจ้า (พระผู้เป็นเจ้า) และถ่ายทอดพระประสงค์ของพระเจ้า ข้อความแห่งการประกาศนี้หมายถึงการที่มารผจญภัยและวิญญาณ สภาพแวดล้อม และสถานการณ์ต้องเชื่อฟัง (เชื่อฟัง)
‘จุดประสงค์ของการประกาศ’ คือเพื่อแสดงให้เห็นถึงพระเยซูคริสต์ผู้ทรงพระชนม์
[ที่มา] https://my-jc.tistory.com/2704, ศิษยาภิบาลโจเซฟ ลี, 2019. 11. 9
ตามสามัญสำนึก “ถ่ายทอด” และ “ประกาศ” สามารถใช้เมื่อเราจะถ่ายทอดความคิดของเราไปยังผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ในกรณีของพระคำของพระเจ้า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าพระเจ้า (พระผู้เป็นเจ้า, God) ผู้ทรงมอบหมายให้ถ่ายทอดพระคำนั้นแก่ใครเป็นผู้มีบทบาทหลัก
และเมื่อจะส่งต่อหรือประกาศพระคำนั้นให้แก่ใคร พระเจ้าจะมีจุดประสงค์และเหตุผลที่ชัดเจนและจะเน้นย้ำเรื่องนี้อย่างชัดเจน ดังนั้นผู้ที่ได้รับมอบหมายพระคำนั้นจะต้องไม่ใส่ความคิดเห็นของตนเองเลย แต่จะต้องถ่ายทอด (สื่อสาร) เพียงพระคำที่ได้รับเท่านั้น
ลองมาดูที่เบื้องหลังการเริ่มต้นของศาสนาคริสต์กันสักหน่อย ศาสนาคริสต์ได้รับการยอมรับเป็นศาสนาประจำชาติในกรุงโรม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแพร่ไปยังยุโรปและเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ แต่ถ้าดูจากกระบวนการแล้ว จะพบว่ามันถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการปกครองของจักรพรรดิ (เมื่อจักรพรรดิคอนสแตนตินรับศาสนาคริสต์ ในปี ค.ศ. 313 มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเมืองมิลานเกี่ยวกับเสรีภาพในการนับถือศาสนาคริสต์ และในปี ค.ศ. 380 จักรพรรดิธีโอโดเซียสทรงมีพระประสงค์ที่จะทรงปกครองประเทศด้วยศาสนาคริสต์ หลังจากที่พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวร และได้ประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติในปี ค.ศ. 392
(https://www.ohmynews.com/NWS_Web/View/at_pg.aspx?CNTN_CD=A0002137949, 2015. 8. 22)
หลังจากนั้น ศาสนาคริสต์ได้เข้าใกล้ผู้นำคริสตจักรและผู้มีอำนาจทางการปกครองมากขึ้น เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ส่งผลให้ความมั่งคั่ง เกียรติยศ และอำนาจเข้ามามีบทบาทในคริสตจักร ถึงแม้ว่า “พระเยซูทรงเป็นประมุขของคริสตจักร” แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีโครงสร้างลำดับชั้นที่เข้มงวดที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าแต่ละนิกาย (นิกาย) นอกจากนี้ ในช่วงเวลาของมิสซาหรือการเทศนา แต่ละนิกายจะมีหลักคำสอน พิธีกรรม และพระคำสำหรับการสั่งสอนหรือเทศนาที่กำหนดไว้
ในสถานการณ์เช่นนี้ พระสงฆ์หรือผู้รับใช้พระเจ้าจะสามารถพูดได้อย่างไรว่าเป็น “พระคำที่ประทานให้” “พระคำที่ส่งต่อ” และ “พระคำที่ประกาศ” บนแท่นบูชาในโบสถ์? แม้แต่ผู้นำคริสตจักรที่อยู่ในคริสตจักรมานานก็ยังถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ
ตามความหมายในพจนานุกรม จะนิยามว่า “ผู้ที่สารภาพความเชื่อในพระเยซูผู้ทรงเป็นพระคริสต์ (พระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ช่วยให้รอด) หรือผู้ที่นับถือศาสนาที่ยึดถือคำสอนของพระเยซู” คริสเตียนแท้คือผู้ที่ได้รับชีวิตใหม่ (ชีวิต) ในพระเยซูคริสต์
(https://incharity.or.kr/bbs/board.php?bo_table=godnews&wr_id=15, โบสถ์แห่งความรัก, 2018. 1. 15)
หมายถึงกลุ่มคนที่พระเจ้าทรงเรียกเป็นพิเศษให้มีชีวิตที่แตกต่างจากเดิมและตัดสินใจที่จะมีชีวิตอย่างแตกต่างออกไป และเป็นชุมชนแห่งความรอดที่ยึดตามพระสัญญาของพระเจ้า
(https://www.duranno.com/bdictionary/result_vision_detail.asp?cts_id=15159, ดูรันโน ซอวอน)
ต้องสามารถแยกแยะ (แยกแยะ) พระคำที่พระเจ้าทรงตรัสสั่งให้ถ่ายทอด (ถ่ายทอด) หรือประกาศ (ประกาศ) ได้
โบสถ์ในปัจจุบันและผู้นำของโบสถ์ควรจดจำคำเตือนที่พระเยซูตรัสแก่ผู้นำศาสนายิว
ดังนั้นหากไม่มีพระบัญชา (คำสั่ง) จากพระเจ้าให้ถ่ายทอด (ถ่ายทอด) หรือประกาศ (ประกาศ) ก็ไม่ควรใช้คำเหล่านั้นโดยพลการผู้นำคริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์หรือผู้รับใช้พระเจ้า ควรจดจำ (จดจำ) สิ่งนี้ไว้ และไม่ควรทำการกระทำที่โง่เขลาที่ไม่เชื่อฟัง (ไม่เชื่อฟัง) โดยไม่รู้ตัว (มธ 12: 3234, 36, มธ 23: 27, 33, 34, ดธ 18: 2022)
32. และทุกคนที่พูดต่อต้านบุตรมนุษย์จะได้รับการอภัย แต่ผู้ที่พูดต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้รับการอภัย (การให้อภัย) ไม่ว่าในโลกนี้หรือในโลกหน้า."
33. “ต้นไม้ที่ดีก็ให้ผลดี ต้นไม้ที่ไม่ดีก็ให้ผลไม่ดี ต้นไม้รู้จักกันด้วยผลของมัน”
34. พวกงูพิษเอ๋ย! ท่านจะพูดสิ่งที่ดีได้อย่างไรในเมื่อท่านชั่วร้าย? เพราะปากพูดตามสิ่งที่ใจเต็มอยู่”
36. เราบอกท่านว่า ในวันพิพากษา มนุษย์จะต้องชี้แจง (ชี้แจง) ถึงคำพูดไร้สาระทุกคำที่ได้พูดไป”
20. และผู้เผยพระวจนะที่พูดด้วยนามของเราโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเรา หรือพูดด้วยนามของพระเจ้าอื่นๆ จะต้องถูกประหารชีวิต.' พระองค์ตรัส
21. แต่ท่านจะพูดว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระคำนั้นมาจากพระเยโฮวาห์หรือไม่?
22. ถ้าผู้เผยพระวจนะพูดด้วยนามของพระเยโฮวาห์แล้ว พระคำนั้นไม่เป็นจริง ก็แสดงว่าพระเยโฮวาห์ไม่ได้ตรัสพระคำนั้นอย่ากลัวผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นเลย”
เพราะพระเจ้าทรงเกลียดชังผู้รับใช้พระเจ้าหรือผู้เผยพระวจนะเท็จเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง และอาจทรงพิโรธ (พิโรธ) จนถึงขั้นประหารชีวิต ดังนั้น หากคริสตจักรไม่สามารถมีพัฒนาการ (พัฒนาการ) เช่น การได้ยินพระวจนะหรือพระสุรเสียง (เสียง) ที่พระเจ้าประทานให้ ก็จะเหลือเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของความกตัญญูเท่านั้น และเนื่องจากสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว พลังของพระเจ้าจึงไม่ปรากฏอีกต่อไป
พระเจ้าทรงตำหนิผู้นำคริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รับใช้พระเจ้าว่า “คนตาบอดนำทางคนตาบอด”
14. ปล่อยให้พวกเขาอยู่เถิด พวกเขาเป็นคนตาบอดที่นำทางคนตาบอด ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองก็ตกหลุม."
21. ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะเข้าสู่สวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้ทรงอยู่ในสวรรค์เท่านั้นที่จะเข้าไป
2024. 7. 11 ถนนที่แท้จริง