หนังสือที่ศึกษาการพูดของ อีแจมยอง ผู้เชี่ยวชาญด้านการพูด (การปราศรัย) และ ยุนซอกยอล ผู้เป็นแบบอย่างที่ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างด้านการพูด (การปราศรัย) ซึ่งเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทั้งสองคน โดยพยายามวิเคราะห์กลยุทธ์การพูด (การปราศรัย) ที่มีประสิทธิภาพและการวิเคราะห์ทางจิตวิทยาพร้อมกัน เขียนโดยคิมแทฮยอง นักจิตวิทยา (ผู้เขียนหนังสือ 『จิตวิทยาในการเลือกประธานาธิบดี』) และ พัคซารัง ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกสอนการพูด (การปราศรัย) การพูดแบบใดที่เป็น ‘การพูดที่ดี’ หรือ ‘การพูดที่ไม่ดี’...(สำนักพิมพ์ซอแฮ มุนจิบ พ.ศ. 2565)
อีแจมยองทำงานเป็นเด็กฝึกงานตอนเด็ก ทำให้ได้พบกับคนที่เรียกได้ว่าเป็นคนไม่ดี จึงเข้าใจจิตใจของคนเหล่านั้น ดังนั้นแม้จะมาเป็นนักการเมืองแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนชั่ว (คนเลว) ก็สามารถจัดการกับพวกเขาได้อย่างชาญฉลาดโดยไม่แสดงอารมณ์ของตนเอง
จุดที่ทำให้การปราศรัยของอีแจมยองเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนก็คือ เขาจะเล่าเรื่องราวของตัวเองที่เหมาะสมกับผู้ฟังที่มาร่วมฟังการปราศรัย ทำให้ผู้ฟังจำนวนมากเห็นด้วย นอกจากนี้วิธีการสื่อสารก็ยังเป็นการเล่าเรื่อง (storytelling ซึ่งหมายถึงการสร้างเรื่องราวที่มีเหตุการณ์เดียวโดยใช้สื่อต่างๆ ให้เหมาะสมกับหัวข้อและจุดประสงค์ของเรื่องราว)
เขาพูดบ่อยมากว่าเชื่อมั่นในประชาชนในฐานะนักการเมือง แต่การเชื่อใจคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อีแจมยองเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน ตอนที่เขาเติบโตในซองนัม แม่ของเขาจะไปทำงานทำความสะอาดห้องน้ำ และพาเขาไปโรงงานด้วยมือของเธอ เขาบอกว่าได้รับความรักอย่างสุดซึ้งจากแม่ ความรักนั้นอาจเป็นพลังที่แท้จริงของอีแจมยองก็เป็นได้
นอกจากนี้เนื่องจากไม่มีเงินเรียนจึงต้องเรียนเอง และมีโอกาสได้เรียนที่โรงเรียนกวดวิชาเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่เนื่องจากไม่มีเงินจึงต้องเลิกเรียน ในขณะนั้นคุณครูคิม 0-กู ทราบเรื่องนี้จึงสอนภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และภาษาเกาหลีให้ฟรี เขาบอกว่าตอนแรกคิดว่าอาจารย์ล้อเล่นอยู่หรือเปล่า
หลังจากสอบผ่านการสอบเนติบัณฑิตแล้ว เขาก็ไปหาคุณครูคิม 0-กู คุณครูบอกว่าภูมิใจมากและกอดเขา อีแจมยองบอกว่าตอนนั้นเขาเข้าใจความรักของครูและรู้สึกเหมือนมีแสงส่องออกมาจากอก
เมื่อได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้ ความรักระหว่างอีแจมยอง แม่ของเขา และคุณครูคิม 0-กู ทำให้เขาสามารถเอาชนะความยากลำบากในฐานะนักการเมืองได้ และไม่ใช่แค่เพียงนักการเมืองที่มีประสบการณ์ทางการบริหาร แต่ยังเป็นคนที่ปรารถนาที่จะส่องแสงสว่างให้กับโลก
โยฮันที่ 1 บทที่ 4
16. เราได้รู้จักและเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าคือความรัก ผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็อยู่ในคนนั้น
โยฮัน บทที่ 1
1. เดิมทีนั้นพระคำนั้นมีอยู่แล้ว พระคำนั้นอยู่กับพระเจ้า และพระคำนั้นก็คือพระเจ้า
4. ในพระองค์นั้นมีชีวิต และชีวิตนั้นเป็นแสงสว่างของมนุษย์
5. แสงสว่างนั้นส่องอยู่ในความมืด และความมืดนั้นรับแสงสว่างนั้นไม่ได้
7. ท่านผู้นั้นมาเป็นพยานถึงความจริง เพื่อให้คนทั้งปวงเชื่อโดยทางท่านผู้นั้น
8. ท่านผู้นั้นมิใช่ความจริง แต่ท่านมาเป็นพยานถึงความจริง
อีแจมยอง แม่ของเขา และคุณครูคิม 0-กู ได้ประสบกับความรักนั้นแล้ว และใช้ชีวิตเป็นพยานถึงความจริงในฐานะผู้ที่ได้รับชีวิตใหม่ กล่าวได้ว่าชีวิตของพวกเขาเป็นสถานที่แห่งการนมัสการอย่างแท้จริง
โยฮัน บทที่ 4
24. พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ ดังนั้นผู้ที่นมัสการพระเจ้าจึงต้องนมัสการด้วยวิญญาณและความจริงเท่านั้น"
นอกเหนือจากศาสนาแล้ว การเอาใจใส่ผู้ที่อ่อนแอด้วยความรักในชีวิตของชุมชน (สังคม) ของเรานั้นเป็นคุณค่าอันสูงส่ง (คุณค่า) เมื่อพวกเขากลับมามีชีวิตใหม่และเปล่งประกาย ชุมชน (สังคม) นั้นก็จะมีชีวิตชีวาและสามารถแสดงอิทธิพลที่ดีได้ นี่เป็นคุณค่าที่สำคัญยิ่งสำหรับคนในยุคปัจจุบันที่ยึดติดกับวัตถุและแสวงหาสิ่งที่ไร้สาระ
พ.ศ. 2568 11 ม.ค. ชัมกิล
ความคิดเห็น0