- ‘การตรัสรู้’ นั้นปรากฏขึ้นในโลกแห่งจิตสำนึก (意識) แต่ ‘การเกิดใหม่’ นั้นจำเป็นต้องพิจารณาทั้งโลกแห่งจิตใต้สำนึก (無意識) เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงจะสามารถบรรลุถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในทางจิตวิทยาได้
- Ken Wilber (นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน) หลังจากที่ได้อ่าน ‘เต๋าเต๋อจิง’ (道德經) ของลัทธิเต๋าแล้ว ก็หลงใหลในแนวคิดตะวันออกและตะวันตก และจากการพำนักอยู่ในประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออก รวมถึงประเทศเกาหลีเป็นเวลานานหลายสิบปี พร้อมกับการปฏิบัติธรรมโดยตรง การพบปะกับพระสงฆ์ชั้นสูงและบุคคลทางศาสนา ทำให้เขาได้รู้ว่าประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ (靈的) นั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่การันตีความสมบูรณ์ทางจิตใจ
ถ้าตรัสรู้แล้ว ปัญหาทุกอย่างจะหายไปหรือไม่? การตรัสรู้และสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย! | โครงการร่วมของ 휴심정 และสถาบันปรัชญาเพลโต ‘สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิญญาณจากต่างประเทศ’ สัมภาษณ์ Ken Wilber ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเชิงบูรณาการ ตอนที่ 1
ผู้ที่กล่าวว่าตนเองได้ตรัสรู้แล้ว ผู้ที่กล่าวว่าตนเองมีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณนั้น หลายคนมีปัญหาในด้านบุคลิกภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเพศและเงิน ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ (靈的) นั้นไม่ได้การันตีความสมบูรณ์ทางจิตใจ คุณรู้ได้อย่างไร?
จากการเดินทางไปทั่วอินเดีย เนปาล จีน ทิเบต และการใช้เวลาหลายสิบปีในการไปเยี่ยมเยียนพระสงฆ์ ภิกษุ และผู้ปฏิบัติธรรมจำนวนมากในภูเขาสูงของเกาหลี รวมทั้งการได้พบปะกับพระสงฆ์ชั้นสูงนับไม่ถ้วน ทำให้ผมได้รู้
นิโกเดมัส ผู้ซึ่งเป็นฟาริสีและเป็นผู้นำของชาวยิว ได้เห็นปาฏิหาริย์ที่พระเยซูทรงกระทำ และคิดว่าพระองค์เป็นครูผู้สอนที่พระเจ้าทรงส่งมา เขาได้ไปหาพระเยซูในยามค่ำคืน เพื่อขอเรียนรู้จากพระองค์เพื่อเพิ่มพูนความรู้ของตนเอง แต่พระเยซูทรงมีหัวข้อที่ต้องการจะสอนเขา นั่นคือ “ใครเล่าที่จะเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าได้” ซึ่งเป็นความจริงที่สำคัญที่สุด ใครเล่าที่จะเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าได้ คนที่เกิดจากเนื้อหนังเข้าไปไม่ได้ (ยอห์น 3: 1-8)
คำตอบของพระเยซูคือ มีเพียงคนที่เกิดใหม่เท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้
มีเพียงคนที่เกิดจากพระวิญญาณ (靈) เท่านั้นที่จะเข้าไปได้ การเกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ที่สำนึกผิดในบาป (罪) วางใจในพระคุณ (功勞) ของพระเยซูคริสต์ รับบัพติศมาด้วยน้ำ และได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (聖靈) ประทับตราไว้ บุคคลที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยน้ำและพระวิญญาณเช่นนี้ พระคัมภีร์เรียกว่า ‘สิ่งสร้างใหม่’ (โกโลซาย 5:17)
ดังนั้น ผู้ที่คิดว่าตนยืนอยู่ จงระวังอย่าให้ล้ม (1 โครินธ์ 10:12)
มัทธิว 7
13. “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูที่กว้างและทางที่โล่งนั้นนำไปสู่ความพินาศ และมีคนมากมายที่เข้าไปทางนั้น
14. แต่ประตูที่แคบและทางที่คับขันนั้นนำไปสู่ชีวิต และมีคนน้อยคนที่พบทางนั้น”
ไม่ว่าบุคคลนั้นจะฝึกฝนตนเอง หรือได้เห็น ได้อ่าน ได้เรียนรู้ และเข้าใจคำสอนแห่งชีวิตแล้วก็ตาม ผลที่ได้จะปรากฏในลักษณะนิสัยและการกระทำของบุคคลนั้น
ในศาสนาต่างๆ รวมถึงศาสนาคริสต์ เราจะเห็นได้บ่อยครั้งว่าผู้นำบางคนเริ่มต้นด้วยความตั้งใจแน่วแน่ เดินไปตามทาง (道) ของตน แต่เมื่อไปถึงจุดสูงสุด ก็มักจะล้มเหลวเพราะเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับชื่อเสียง อำนาจ เงิน และเพศ
Ken Wilber (Ken Wilber) ได้อธิบายกระบวนการตรัสรู้และการเกิดใหม่ในมุมมองของจิตวิทยาเชิงบูรณาการ พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ในข้อความข้างต้นแล้วว่า แม้ว่าจะได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้าแล้ว แต่เรื่องการเกิดผลของพระวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่แยกจากกัน และเนื่องจากเส้นทางนั้นยากลำบาก พระเยซูจึงเรียกมันว่าเส้นทางที่แคบ และเตือนว่า “ถ้าพวกท่านคิดว่าตนยืนอยู่ พวกท่านก็จะล้มลง”
Ken Wilber ได้วิเคราะห์สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ที่ตรัสรู้แล้วไม่สามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์ของบุคลิกภาพได้ ในมุมมองของจิตวิทยาเชิงบูรณาการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติและจำเป็นต้องใส่ใจ
การตรัสรู้นั้นปรากฏขึ้นในโลกแห่งจิตสำนึก (意識) และเห็นได้ว่ามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (精進) แต่การเกิดใหม่ของลักษณะนิสัยและการกระทำของบุคคลที่มีบุคลิกภาพที่แข็งแรงนั้นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับโลกแห่งจิตใต้สำนึก (無意識) จึงไม่สามารถรู้ได้ง่าย ดังนั้น หากมองข้าม (看過) เรื่องนี้ไป บุคคลนั้นแม้จะบรรลุถึงการตรัสรู้แล้ว ก็อาจล้มเหลวได้ทุกเมื่อ
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (S. Freud) ได้แบ่งจิตใจของมนุษย์ออกเป็น 3 ระดับ ตามระดับของการรับรู้ (awareness) ได้แก่ จิตสำนึก (conscious) จิตก่อนสำนึก (preconscious) และจิตใต้สำนึก (unconscious)
จิตใต้สำนึกเป็นส่วนที่ลึกซึ้งและสำคัญที่สุดของจิตใจมนุษย์ และเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของแต่ละบุคคล จิตใต้สำนึก (無意識) ซึ่งอยู่นอกเหนือจากขอบเขตของจิตสำนึก ครอบคลุมส่วนใหญ่ของโลกแห่งจิตใจและควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ รวมถึงการกำหนดทิศทางของพฤติกรรม (พจนานุกรมปรึกษาศาสตร์ พ.ศ. 2559) ความกลัว แรงกระตุ้นที่จะใช้ความรุนแรง ความปรารถนาที่ไร้เหตุผล ความต้องการทางเพศที่ไม่เหมาะสม ความเห็นแก่ตัว ประสบการณ์ที่น่าอับอาย เป็นต้น ล้วนอยู่ในส่วนนี้
เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจที่รูปแบบพฤติกรรมของมนุษย์ 95% นั้นถูกขับเคลื่อน (driven) โดยจิตใต้สำนึก (จิตใจแห่งอารมณ์) และจิตไร้สำนึก (จิตใจแห่งการเอาตัวรอด) และมีเพียง 5% เท่านั้นที่ถูกขับเคลื่อนโดยจิตสำนึก (จิตใจแห่งเหตุผล)
จิตใต้สำนึกมีนิสัยที่ยอมรับทุกอย่างตามที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดในเชิงบวกหรือเชิงลบก็ตาม หากพูดกับตัวเองซ้ำๆ ว่า “ฉันจะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้” โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็จะสูงขึ้น จิตใต้สำนึกจะไม่คิดหรือสรุปเหตุผลด้วยตนเอง แต่จะเชื่อฟังคำสั่งที่จิตสำนึกสั่งการ
หากกิจกรรมของมนุษย์ 95% เกิดจากจิตใต้สำนึก (unconscious mind) แล้ว การนำจิตใต้สำนึกไปใช้ในการเรียนรู้ก็กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา หากต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดหรือบรรลุเป้าหมายใดๆ การร่วมมือกันระหว่างจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกเป็นสิ่งจำเป็น เราสามารถควบคุมชีวิตของตนเองและบรรลุสิ่งที่ต้องการได้โดยการเชื่อมโยงพลังอันยิ่งใหญ่ของจิตใต้สำนึกเข้ากับจิตสำนึก (โดยการประสานกัน) การทำความเข้าใจว่าจิตใต้สำนึกทำงานอย่างไรนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้และชีวิตของเราได้อย่างมาก
มัทธิว 7
7. “จงขอ และท่านจะได้รับ จงหา และท่านจะพบ จงเคาะประตู และประตูจะเปิดให้ท่าน”
2024. 6. 20 เรียบเรียงโดย 참길
บทส่งท้าย (後記)
การฝึกฝนทักษะในการมองเห็นสถานะที่ไม่สมบูรณ์ของมนุษย์ (人間) ในกระบวนการเติบโต (成熟) ในมุมมองของจิตวิทยาเชิงบูรณาการเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะตรัสรู้มากเพียงใด หากไม่แก้ไขความโลภ ความเจ็บปวด ฯลฯ ที่ซ่อนอยู่ในโลกแห่งจิตใต้สำนึก (無意識) ของมนุษย์ ก็อาจทำให้ล้มเหลวได้ทุกเมื่อ ในแง่นี้ แต่ละคนควรตรวจสอบดูว่ามีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ในจิตใต้สำนึกของตนเองหรือไม่ และพยายามปรับปรุงแก้ไข
นั่นคือการดำเนินชีวิตด้วย ‘การนมัสการ (禮拜) ที่ถวายด้วยความจริง (眞理) และพระวิญญาณ (靈)’ และเป็นรากฐานของการดำเนินชีวิตในแบบที่อัครสาวกเปาโลกล่าวไว้ว่า ‘การทำให้บริสุทธิ์ (聖化) ’ เราต้องจดจำคำพูดของพระเยซูที่ว่า ต้องเกิดใหม่ด้วยน้ำและพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงจะสามารถเข้าไปใน ‘อาณาจักรของพระเจ้า’ ได้
ความคิดเห็น0